แก้ปัญหา อ่านไม่ออก เขียนผิดๆ ถูกๆ อย่างไรให้ได้ผลจริง
หลายคนอาจเคยเจอปัญหาที่ดูเหมือนเล็กแต่จริงๆ แล้วส่งผลกับชีวิตประจำวันอย่างมาก นั่นคือ “อ่านไม่ออก เขียนผิดๆ ถูกๆ” ไม่ว่าจะเป็นเด็กในวัยเรียน หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ที่จบการศึกษาแล้ว ปัญหานี้ยังสามารถพบได้ทั่วไป และบางครั้งกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการทำงาน การสื่อสาร หรือการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในชีวิต
ทำไมถึงอ่านไม่ออก เขียนผิด
เบื้องต้นเราต้องเข้าใจก่อนว่า ปัญหาอ่านไม่ออก เขียนผิด อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น
- การเรียนรู้พื้นฐานที่ไม่สมบูรณ์ในวัยเด็ก
- ขาดโอกาสในการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง
- ความผิดปกติในการเรียนรู้ เช่น ภาวะดิสเล็กเซีย (Dyslexia)
- ความไม่คุ้นเคยกับภาษา หรือใช้ภาษาผิดบริบทบ่อยครั้ง
- การใช้เทคโนโลยี เช่น แชท พิมพ์เร็ว หรือใช้คำย่อมากเกินไปจนเคยตัว
ไม่ว่าจะมาจากสาเหตุใด สิ่งสำคัญคือ “สามารถพัฒนาได้” หากมีวิธีและแนวทางที่ถูกต้อง
เริ่มต้นจากความเข้าใจตนเอง
ขั้นแรกคือการยอมรับและไม่อายที่จะบอกว่าตนเองมีปัญหานี้ การยอมรับความจริงเป็นก้าวแรกที่สำคัญมาก หากเราปิดบังหรือหลีกเลี่ยงปัญหา มันก็จะไม่ถูกแก้ไข
ลองสังเกตดูว่าเราอ่านไม่ออกแบบไหน? อ่านช้า หรือไม่เข้าใจความหมาย? เขียนผิดแบบสะกดผิด หรือใช้คำไม่ถูกต้อง? การรู้ปัญหาอย่างละเอียดจะช่วยให้เราเลือกวิธีแก้ไขได้เหมาะสม
ฝึกอ่านจากสิ่งง่ายๆ และน่าสนใจ
เริ่มต้นจากการอ่านสิ่งที่ตัวเองสนใจ เช่น การ์ตูน นิทาน หนังสือภาพ บทความสั้นในโลกออนไลน์ หรือบทความข่าวสั้นๆ แล้วค่อยๆ ขยับไปสู่เนื้อหาที่มีความซับซ้อนขึ้น เมื่ออ่านแล้ว ควรอ่านออกเสียง เพื่อฝึกการเชื่อมโยงระหว่างสายตา สมอง และการพูด
อย่ากลัวที่จะอ่านผิด เพราะการอ่านผิดคือขั้นตอนหนึ่งของการเรียนรู้ หากมีใครช่วยฟังและแก้ไขให้ จะยิ่งพัฒนาได้เร็วขึ้น
จดคำศัพท์ที่มักเขียนผิดไว้เสมอ
บางคนมักเขียนคำเดิมๆ ผิดซ้ำๆ เช่น คำที่มีพยัญชนะซ้อน คำที่มีสระประสม หรือคำที่คล้ายกัน เช่น “บัญชี” กับ “บรรชี” หรือ “สะดวก” กับ “สสะดวก”
การทำ “สมุดคำศัพท์ผิดบ่อย” เป็นวิธีที่ช่วยได้ดีมาก จดคำผิดไว้ พร้อมคำที่ถูกและประโยคตัวอย่าง แล้วหมั่นกลับมาเปิดอ่าน ทบทวนบ่อยๆ
ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์
ทุกวันนี้เรามีเครื่องมือช่วยตรวจการเขียนมากมาย เช่น โปรแกรมตรวจคำผิดในโทรศัพท์ แอปพลิเคชันสำหรับฝึกอ่าน เช่น Google Read Along หรือ YouTube ที่มีคลิปสอนภาษาไทยพื้นฐาน
ลองพิมพ์คำที่สงสัยใน Google แล้วดูผลลัพธ์ว่าแบบใดใช้ถูกในประโยค จะช่วยให้จดจำการใช้คำได้แม่นยำมากขึ้น
เขียนทุกวัน อ่านทุกวัน
การเขียนไม่จำเป็นต้องเป็นงานทางการ เช่น รายงานหรือเรียงความ อาจเป็นการเขียนไดอารี่สั้นๆ ทุกวัน บันทึกความรู้สึก หรือสิ่งที่เจอในชีวิตประจำวัน วันละไม่เกิน 5-10 บรรทัดก็เพียงพอ ขอแค่ “เขียน” อย่างต่อเนื่อง
ส่วนการอ่านก็สามารถทำควบคู่กัน เช่น เมื่อเขียนเสร็จแล้ว อ่านทบทวนว่าเขียนอะไร ใช้คำเหมาะสมไหม? มีคำไหนสะกดผิดหรือเปล่า? หากทำสม่ำเสมอ จะเห็นพัฒนาการภายในไม่กี่สัปดาห์
ขอคำแนะนำจากคนใกล้ตัว
ไม่ใช่เรื่องน่าอายเลย หากจะขอให้เพื่อน ครู หรือญาติช่วยดูว่าที่เราเขียนถูกไหม หรือช่วยแนะนำวิธีแก้ไข หลายครั้งแค่มีคนช่วยบอกสิ่งที่ผิดบ่อยๆ เราก็จะเริ่มจำได้และไม่ทำซ้ำ
หากเป็นผู้ปกครอง ควรสนับสนุนลูกหลานให้ฝึกเขียน ฝึกอ่านทุกวันด้วยบรรยากาศที่เป็นกันเอง ไม่ตำหนิหรือบ่นเมื่อพลาด เพื่อให้เด็กรู้สึกมั่นใจและกล้าฝึกฝน
อ่านไม่ออก เขียนผิด ไม่ใช่ความผิดของใคร
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “ไม่โทษตัวเอง” ปัญหานี้สามารถเกิดได้กับทุกคน และไม่ใช่ข้อด้อยที่แก้ไขไม่ได้ การฝึกฝนและความตั้งใจจะช่วยให้เปลี่ยนแปลงได้แน่นอน
อย่าลืมว่าแม้จะเริ่มต้นช้า แต่หากมีความสม่ำเสมอ ก็สามารถแซงคนที่ไม่ได้ฝึกได้ในที่สุด
สรุป: เรียนรู้ได้ ไม่สายเกินไป
อ่านไม่ออก เขียนผิดๆ ถูกๆ ไม่ใช่เรื่องน่าละอาย แต่เป็นโอกาสให้เราได้กลับมาพัฒนาตนเองอีกครั้ง ทุกคนสามารถพัฒนาได้ ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ขอแค่เริ่มต้นอย่างจริงจัง ฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง และเปิดใจรับคำแนะนำจากคนรอบข้าง