อาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ แต่การบริโภคอาหารที่ไม่ปลอดภัยอาจนำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บที่ร้ายแรงได้ ทั้งในรูปแบบของอาหารเป็นพิษ การติดเชื้อจากแบคทีเรีย หรือสารเคมีตกค้าง ด้วยเหตุนี้ “อาหารปลอดภัย” จึงเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างสุขภาพที่ดีให้กับประชาชน และหน่วยงานหนึ่งที่มีบทบาทอย่างมากในการรณรงค์เรื่องนี้ก็คือ สภากาชาดไทย ซึ่งได้ส่งเสริม “หลัก 5 ประการสู่อาหารปลอดภัย” เพื่อให้คนไทยนำไปใช้ในการประกอบอาหารและบริโภคอย่างถูกสุขลักษณะ
หลักการทั้ง 5 ข้อนี้เรียบง่าย แต่เปี่ยมด้วยพลังในการป้องกันโรคที่เกิดจากอาหาร พร้อมทั้งสร้างมาตรฐานการผลิตอาหารที่ปลอดภัยในทุกระดับ ตั้งแต่ครัวเรือนไปจนถึงธุรกิจอาหารและร้านอาหารต่างๆ
1. รักษาความสะอาด
หลักแรกของอาหารปลอดภัยคือ “ความสะอาด” ซึ่งหมายถึงการดูแลความสะอาดของมือ อุปกรณ์ทำอาหาร พื้นผิวต่าง ๆ และสิ่งแวดล้อมในครัวอย่างเคร่งครัด เพราะแบคทีเรียและเชื้อโรคอื่น ๆ สามารถปนเปื้อนได้จากมือของผู้ประกอบอาหาร ผ้าเช็ดมือ เขียง หรือแม้แต่จากแมลงและสัตว์เลี้ยงที่อาศัยอยู่ในบ้าน
สภากาชาดไทยแนะนำให้ผู้ประกอบอาหารล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสอาหารทุกครั้ง และหลังจากใช้ห้องน้ำ จัดเก็บวัตถุดิบในภาชนะที่ปิดมิดชิด รวมถึงทำความสะอาดพื้น โต๊ะ และเครื่องใช้ต่าง ๆ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อหรือสบู่อย่างสม่ำเสมอ
ความสะอาดไม่ใช่แค่เรื่องพื้นฐาน แต่คือเกราะป้องกันด่านแรกของอาหารปลอดภัย ที่สามารถลดความเสี่ยงของโรคที่เกิดจากอาหารได้อย่างมหาศาล
2. แยกอาหารดิบออกจากอาหารปรุงสุก
อาหารดิบ เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ หรืออาหารทะเล มักมีเชื้อจุลินทรีย์ที่สามารถปนเปื้อนไปสู่อาหารปรุงสุกหรืออาหารที่พร้อมรับประทานได้ง่าย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้อง “แยก” วัตถุดิบประเภทนี้ออกจากกันทั้งในขั้นตอนการจัดเก็บและการปรุงอาหาร
สภากาชาดไทยเน้นย้ำว่า ควรใช้เขียงและมีดแยกกันระหว่างอาหารดิบและอาหารสุก เช่น ใช้เขียงสีแดงสำหรับเนื้อดิบ และเขียงสีเขียวสำหรับผักสด พร้อมทั้งล้างภาชนะให้สะอาดหลังการใช้งาน เพื่อป้องกันการปนเปื้อนข้าม (Cross-contamination)
การแยกอาหารดิบออกจากอาหารสุกเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญที่มักถูกมองข้าม แต่สามารถช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยจากอาหารได้อย่างมีนัยสำคัญ
3. ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึง
การปรุงอาหารให้สุกอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ ไข่ และอาหารทะเล เป็นกุญแจสำคัญในการฆ่าเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนมากับวัตถุดิบ การปรุงไม่สุกอาจทำให้เชื้อแบคทีเรีย เช่น Salmonella, E. coli หรือ Listeria ยังมีชีวิตอยู่และเข้าสู่ร่างกายผู้บริโภค
สภากาชาดไทยแนะนำให้ใช้ความร้อนอย่างเพียงพอ โดยอุณหภูมิภายในของเนื้อสัตว์ควรอยู่ที่ 70°C ขึ้นไป และอาหารที่ปรุงแล้วควรร้อนจนไอน้ำลอยขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องอุ่นอาหารซ้ำ ควรให้แน่ใจว่าอาหารร้อนทั่วถึงทั้งภายนอกและภายใน
การปรุงสุกทั่วถึงไม่เพียงแต่ช่วยให้รสชาติดีขึ้น แต่ยังเป็นการทำลายเชื้อโรคที่มองไม่เห็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. เก็บอาหารที่อุณหภูมิปลอดภัย
เชื้อจุลินทรีย์สามารถเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วในอุณหภูมิระหว่าง 5°C ถึง 60°C ซึ่งเรียกว่า “Danger Zone” หากอาหารถูกเก็บไว้ในช่วงอุณหภูมินี้นานเกินไป จะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคจากอาหารอย่างมาก
สภากาชาดไทยแนะนำให้แช่เย็นอาหารที่ปรุงแล้วหรืออาหารที่บูดเสียง่ายภายใน 2 ชั่วโมงหลังปรุง หากต้องการเก็บอาหารไว้ในระยะยาว ควรแช่แข็ง และเมื่อต้องละลายน้ำแข็ง ควรทำในตู้เย็น ไม่ควรวางทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง
นอกจากนี้ อาหารที่ถูกเก็บไว้ในตู้เย็นควรอยู่ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 5°C ส่วนอาหารร้อนที่ต้องเก็บไว้ควรเก็บในอุณหภูมิสูงกว่า 60°C
5. ใช้วัตถุดิบและน้ำที่ปลอดภัย
การเลือกใช้วัตถุดิบที่สดใหม่ และน้ำสะอาด เป็นพื้นฐานของอาหารปลอดภัย วัตถุดิบที่เน่าเสีย มีเชื้อรา หรือมีสี กลิ่น ลักษณะที่ผิดปกติ ควรหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด เพราะอาจมีสารพิษหรือเชื้อจุลินทรีย์ที่อันตรายต่อสุขภาพ
สภากาชาดไทยสนับสนุนให้ประชาชนเลือกซื้ออาหารจากแหล่งที่เชื่อถือได้ สังเกตฉลากวันหมดอายุอย่างละเอียด และใช้น้ำที่ผ่านการกรองหรือผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อในการล้างผักและประกอบอาหาร เพื่อป้องกันการนำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว
การใส่ใจตั้งแต่ขั้นตอนเลือกซื้อวัตถุดิบ เป็นการเริ่มต้นที่ดีของอาหารปลอดภัยที่ไม่ควรมองข้าม
อาหารปลอดภัยคือภารกิจของทุกคน
หลัก 5 ประการสู่อาหารปลอดภัยตามแนวทางของสภากาชาดไทย แม้จะดูเรียบง่าย แต่หากนำมาปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ จะสามารถลดอัตราการเจ็บป่วยที่เกิดจากอาหารได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในครัวเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล ร้านอาหาร และสถานที่บริการอาหารต่าง ๆ
นอกจากภาครัฐและองค์กรต่าง ๆ ที่มีบทบาทในการกำกับดูแลและให้ความรู้ ประชาชนเองก็สามารถเป็นกำลังสำคัญในการสร้างสังคมอาหารปลอดภัยได้ ด้วยการใส่ใจในพฤติกรรมการปรุงอาหาร การเลือกวัตถุดิบ และการรักษาความสะอาดอย่างเคร่งครัด
อาหารปลอดภัยไม่ใช่เรื่องของใครคนหนึ่ง แต่คือภารกิจร่วมของคนทั้งประเทศ เพื่อสร้างสุขภาพที่ดี ลดภาระโรค และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน