ความดันโลหิต (Blood Pressure) คือแรงดันที่เลือดกระทำต่อผนังหลอดเลือดขณะไหลเวียนอยู่ในร่างกาย โดยมีการวัดจากสองค่า ได้แก่ ความดันโลหิตสูงสุด (Systolic) และความดันโลหิตต่ำสุด (Diastolic) ซึ่งค่าปกติของความดันโลหิตคือประมาณ 120/80 มม.ปรอท (mmHg)
ความดันโลหิตมีความสำคัญต่อสุขภาพของร่างกายมาก เพราะหากมีความดันโลหิตสูงเกินไป จะทำให้หลอดเลือดและอวัยวะต่าง ๆ เสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคไต โรคหลอดเลือดสมอง หรือแม้แต่ภาวะเส้นเลือดตีบตัน
สาเหตุของการเกิดความดันโลหิตสูง
การที่ความดันโลหิตสูงเกิดขึ้นนั้นสามารถมีสาเหตุหลายประการ โดยบางสาเหตุก็เกิดจากปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น
- พันธุกรรม: หากมีประวัติคนในครอบครัวที่มีความดันโลหิตสูง ก็อาจทำให้เกิดความเสี่ยงมากขึ้น
- อายุ: ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูงจะเพิ่มขึ้นตามอายุ
- เพศ: ผู้ชายมักมีความเสี่ยงสูงในวัยกลางคน ขณะที่ผู้หญิงจะเริ่มมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหลังวัยหมดประจำเดือน
- โรคประจำตัว: เช่น เบาหวานหรือโรคไตเรื้อรัง
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่สามารถกระตุ้นให้เกิดความดันโลหิตสูง เช่น การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป การทานอาหารที่มีโซเดียมสูง ขาดการออกกำลังกาย ความเครียด การสูบบุหรี่ และน้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐาน
อาการของความดันโลหิตสูง
คนส่วนใหญ่ที่มีความดันโลหิตสูงมักจะไม่มีอาการที่เด่นชัด จึงทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้จนกระทั่งมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม บางคนอาจมีอาการบางประการที่อาจแสดงถึงความดันโลหิตสูง เช่น
- ปวดหัว โดยเฉพาะที่ท้ายทอย
- หายใจไม่สะดวกหรือหอบเหนื่อย
- เวียนหัวหรือหน้ามืด
- ตาพร่ามัวหรือสูญเสียการมองเห็นชั่วคราว
- มีเลือดออกจากจมูกบ่อยครั้ง
หากคุณมีอาการดังกล่าว ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเช็กความดันโลหิต
ผลกระทบของความดันโลหิตสูง
หากไม่ดูแลรักษาความดันโลหิตให้ปกติ อาจเกิดผลกระทบที่ร้ายแรงต่อสุขภาพ เช่น
- โรคหัวใจและหลอดเลือด: การที่ความดันโลหิตสูงจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด หรืออาการหัวใจวาย
- โรคไต: ความดันโลหิตสูงสามารถทำให้ไตทำงานไม่ดี จนอาจเกิดภาวะไตวาย
- โรคหลอดเลือดสมอง: ความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
- ตาบอด: ความดันโลหิตสูงสามารถทำให้เส้นเลือดในตาเกิดความเสียหาย จนนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น
การตรวจและการรักษาความดันโลหิตสูง
การตรวจความดันโลหิต คือการวัดความดันที่กระทำต่อผนังหลอดเลือด ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ โดยใช้เครื่องวัดความดันโลหิต ทั้งในคลินิกหรือที่บ้าน ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า สฟygโมมานอมิเตอร์ (Sphygmomanometer)
สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงหรือมีอาการของความดันโลหิตสูง ควรได้รับการตรวจเช็กอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถพบปัญหานี้ได้เร็วและทำการรักษา
การรักษาความดันโลหิตสูง มีหลายวิธี เช่น
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต: การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การควบคุมอาหาร ลดน้ำหนัก การหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน
- การทานยา: หากการเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้ชีวิตไม่เพียงพอ อาจจำเป็นต้องใช้ยาลดความดันโลหิต เช่น ยากลุ่ม ACE inhibitors, Beta-blockers, หรือ Diuretics
- การดูแลสุขภาพจิต: การลดความเครียดและการนอนหลับที่เพียงพอ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการควบคุมความดันโลหิต
วิธีป้องกันและการดูแลสุขภาพ
การดูแลรักษาความดันโลหิตให้ปกติสามารถทำได้โดยการปรับพฤติกรรมการดำเนินชีวิตในด้านต่าง ๆ เช่น
- ควบคุมอาหาร: การทานอาหารที่มีโซเดียมน้อย เช่น ลดการทานอาหารเค็ม เช่น ขนมขบเคี้ยวหรืออาหารแปรรูป
- ออกกำลังกาย: ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน
- ควบคุมน้ำหนัก: ลดน้ำหนักในกรณีที่น้ำหนักเกินมาตรฐาน
- ลดการดื่มแอลกอฮอล์: หากดื่ม ควรดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ
- งดสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เพิ่มความดันโลหิตสูง
สรุป
ความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่สามารถป้องกันและรักษาได้หากได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต และตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ หากพบว่ามีความดันโลหิตสูงควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการรักษา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ