ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและการวัดคุณค่าของคนจากความสำเร็จหรือภาพลักษณ์ภายนอก คำว่า “การถูกปฏิบัติเหมือนเป็นทรัพย์สิน” ไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำเปรียบเปรยธรรมดา แต่สะท้อนถึงสภาพความสัมพันธ์หรือบทบาทในสังคมที่บางครั้งลดทอนความเป็นมนุษย์ให้อยู่ในระดับของ “ของ” ที่ใครบางคนสามารถครอบครอง บงการ หรือควบคุมได้
การถูกปฏิบัติเช่นนี้อาจเกิดขึ้นในครอบครัว ความสัมพันธ์ส่วนตัว ที่ทำงาน หรือแม้แต่ในโลกออนไลน์ และบ่อยครั้งเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวทั้งจากผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ
เมื่อความรักกลายเป็นกรรมสิทธิ์
ในความสัมพันธ์รัก คำว่า “เธอเป็นของฉัน” หรือ “เขาเป็นของเรา” อาจฟังดูโรแมนติกในบริบทบางครั้ง แต่ลึก ๆ แล้ว อาจสะท้อนแนวคิดการครอบครองที่ฝังรากลึกในวัฒนธรรม หลายคนเฝ้าดู จับผิด บงการชีวิตคู่ของตน ไม่ใช่เพราะรักหรือห่วงใยอย่างแท้จริง แต่เพราะรู้สึกว่าตนเป็นเจ้าของอีกฝ่าย และมีสิทธิ์ในการควบคุมทุกอย่างตั้งแต่เสื้อผ้าที่ใส่ เพื่อนที่คบ ไปจนถึงความฝันที่อีกฝ่ายอยากทำ
การปฏิบัติแบบนี้ทำให้คู่รักคนนั้นค่อย ๆ เสียตัวตน สูญเสียความมั่นใจ และรู้สึกเหมือนตนมีคุณค่าเพียงเพราะ “เป็นของใครบางคน” มากกว่าการมีคุณค่าในตัวเอง
ความคาดหวังในครอบครัวที่กลายเป็นการครอบครอง
หลายครอบครัว โดยเฉพาะในวัฒนธรรมตะวันออก มักผูกพันกันแน่นแฟ้น ซึ่งเป็นสิ่งดี แต่บางครั้งความรักอาจกลายเป็นแรงกดดันที่แฝงแนวคิด “ลูกเป็นของพ่อแม่” ลูกถูกคาดหวังให้เป็นอย่างที่ครอบครัวต้องการ เรียนในสิ่งที่พ่อแม่เลือก แต่งงานกับคนที่เหมาะสมตามสายตาผู้ใหญ่ หรือแม้แต่ต้องสานต่อธุรกิจที่ตนไม่มีใจรัก
เมื่อลูกไม่ได้รับการมองเห็นว่าเป็น “มนุษย์ที่มีทางเดินชีวิตของตนเอง” แต่กลับถูกคาดหวังให้ตอบแทนหรือทำหน้าที่เหมือนทรัพย์สินที่ต้อง “ให้ผลตอบแทน” กับครอบครัว ความเครียด ความขัดแย้ง และความรู้สึกด้อยค่าก็จะเกิดขึ้นในใจ
พนักงานหรือเครื่องจักร?
ในที่ทำงาน หลายองค์กรยังมีแนวคิดแบบ “พนักงานคือทรัพย์สินของบริษัท” ซึ่งหากตีความอย่างมีความหมายก็อาจหมายถึงการเห็นคุณค่าและใส่ใจ แต่ในทางกลับกัน หลายกรณีกลับหมายถึง “การควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ” พนักงานบางคนถูกคาดหวังให้ทุ่มเทสุดชีวิตโดยไม่มีพื้นที่ส่วนตัว ถูกประเมินค่าเฉพาะผลงาน และถูกแทนที่ได้ทันทีหาก “ไม่คุ้มทุน”
เมื่อคนถูกปฏิบัติเหมือนเป็นเพียง “ต้นทุน” หรือ “เครื่องมือสร้างกำไร” โดยไร้พื้นที่แสดงออก หรือโอกาสพัฒนา พวกเขาจะค่อย ๆ สูญเสียแรงจูงใจ ความมั่นใจ และรู้สึกว่า “ตัวฉันไม่มีคุณค่าในตัวเอง” นอกจากผลลัพธ์ที่สร้างได้
โลกออนไลน์และการถูกปฏิบัติเหมือนสินค้า
ในยุคดิจิทัล คนจำนวนมากกลายเป็น “สินค้า” ในสายตาของแพลตฟอร์มและผู้บริโภคคอนเทนต์ เราวัดคุณค่ากันด้วยยอดไลก์ ยอดแชร์ ยอดฟอลโลว์ และเมื่อมีคนหนึ่งกลายเป็นที่นิยม พวกเขาอาจรู้สึกว่าต้อง “รักษาภาพ” ให้เป็นแบบที่คนคาดหวังอยู่ตลอดเวลา
เมื่อถูกปฏิบัติเหมือนเป็น “แบรนด์” หรือ “สินค้า” คนเหล่านี้อาจเริ่มสูญเสียอิสระในการเป็นตัวเอง และรู้สึกว่าคุณค่าของตนขึ้นอยู่กับสายตาคนนอก ความเครียดจากการต้องตอบสนองต่อความคาดหวังภายนอกจึงสะสมกลายเป็นปัญหาสุขภาพจิตโดยไม่รู้ตัว
มนุษย์ไม่ใช่ของสิ่งใด
ในความเป็นจริง มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมสิทธิ์ในการเป็นตัวของตัวเอง เราไม่ใช่ “ทรัพย์สิน” ที่ใครควรเป็นเจ้าของ ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะรักเรามากแค่ไหน หรือมีบุญคุณเพียงใด การเคารพกันในฐานะ “มนุษย์ที่เท่าเทียม” คือพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ดี การรักโดยไม่ต้องครอบครอง การดูแลโดยไม่ควบคุม การให้โดยไม่หวังผลตอบแทน คือการปฏิบัติต่อกันด้วยศักดิ์ศรีและความเข้าใจ
ผลกระทบที่ฝังลึกในใจ
เมื่อใครสักคนถูกปฏิบัติเหมือนเป็นทรัพย์สินนานพอ เขาหรือเธออาจเริ่มเชื่อตามนั้นจริง ๆ คือไม่กล้าคิดเอง ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และเมื่อไม่ได้รับการ “ยืนยันคุณค่า” จากคนที่เคยเป็นเจ้าของ ก็อาจรู้สึกว่างเปล่า เหงา หรือด้อยค่าอย่างรุนแรง
นี่คือผลกระทบที่ลึกและยากจะแก้ไข เพราะมันฝังอยู่ในภาพตัวตน (self-image) ที่บิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริง
วิธีปลดปล่อยจากการเป็น “ทรัพย์สิน”
- ตระหนักรู้ ว่าคุณคือมนุษย์ที่มีสิทธิ์ตัดสินใจในชีวิตของตัวเอง
- กล้าปฏิเสธ ความสัมพันธ์ที่กดดันหรือบงการ
- พูดออกมา เมื่อรู้สึกว่าตัวเองถูกมองข้าม หรือไม่ถูกให้เกียรติ
- สร้างขอบเขต (boundaries) ที่ชัดเจน ทั้งในความสัมพันธ์ส่วนตัวและหน้าที่การงาน
- ยอมรับตัวเอง แม้ไม่สมบูรณ์หรือไม่เป็นไปตามที่ใครคาดหวัง
สรุป
การถูกปฏิบัติเหมือนเป็นทรัพย์สิน อาจดูเหมือนการให้ความรักหรือการดูแล แต่หากขาดความเคารพในตัวตนของอีกฝ่าย มันอาจกลายเป็นการลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์อย่างเงียบ ๆ เราทุกคนสมควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม มีสิทธิ์เลือก มีสิทธิ์เป็นตัวเอง และมีคุณค่าด้วยตัวของเราเอง ไม่ใช่เพราะเรา “เป็นของ” ใคร