ตลอดประวัติศาสตร์มนุษยชาติ การครอบครองที่ดินถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญของการมีอำนาจ ไม่ว่าจะในยุคโบราณ ยุคกลาง หรือกระทั่งสมัยใหม่ ที่ดินไม่ใช่แค่ทรัพย์สิน หากแต่เป็นเครื่องหมายแห่งสิทธิ การปกครอง และอำนาจทางเศรษฐกิจ หนึ่งในรูปแบบที่โดดเด่นที่สุดคือแนวคิดที่ว่า “ที่ดินทั้งหมดเป็นของกษัตริย์” ซึ่งฝังรากลึกในระบบศักดินาหลายแห่งทั่วโลก ไม่ว่าจะในยุโรป จีน อินเดีย หรือกระทั่งสยามประเทศในอดีต
อำนาจเหนือแผ่นดิน: ระบบศักดินาและเจ้าที่ดิน
ในหลายอารยธรรม กษัตริย์ถือเป็นเจ้าของที่ดินทั้งหมดภายในอาณาจักร โดยประชาชนสามารถใช้ที่ดินเพื่อเพาะปลูกหรืออยู่อาศัยได้ก็ต่อเมื่อได้รับพระราชทานสิทธิหรืออนุญาตเท่านั้น ในยุโรปยุคกลาง ระบบศักดินา (Feudalism) ได้วางโครงสร้างสังคมไว้เป็นลำดับชั้น โดยกษัตริย์มอบที่ดินให้ขุนนางเพื่อแลกกับความจงรักภักดีและการสนับสนุนทางทหาร ขุนนางเหล่านี้จึงให้ชาวนาเช่าที่ดินเพื่อทำการเกษตร และเก็บผลผลิตส่วนหนึ่งเป็นค่าภาษีหรือค่าตอบแทน
ในโลกตะวันออก แนวคิดนี้ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เช่น ในจีนสมัยราชวงศ์ต่างๆ จักรพรรดิถือเป็น “โอรสสวรรค์” และมีอำนาจเหนือแผ่นดินอย่างสมบูรณ์ แม้ประชาชนจะสามารถครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินได้ แต่ก็ยังต้องเสียภาษีและยึดถือว่าแผ่นดินทั้งหมดเป็นของจักรพรรดิ
สยามประเทศและที่ดินของพระมหากษัตริย์
ในสยามประเทศ แนวคิดว่า “แผ่นดินเป็นของพระมหากษัตริย์” ฝังรากอยู่ในระบบศักดินาเช่นกัน พระมหากษัตริย์มีอำนาจเด็ดขาดในการมอบหรือยึดที่ดิน และกำหนดตำแหน่งเจ้าหน้าที่ที่ดูแลราษฎรในแต่ละพื้นที่ ซึ่งมักใช้หน่วยเรียกว่า “ไร่นา” ในการประเมินแรงงานและจัดเก็บภาษี ระบบนี้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับการบริหารราชการ โดยมีการแจกจ่ายตำแหน่งให้แก่ขุนนางตามจำนวนไพร่ที่ดูแล และจำนวนที่ดินที่อยู่ภายใต้อำนาจ
แต่เมื่อโลกเริ่มเปลี่ยนผ่านสู่ยุคสมัยใหม่ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ก็เริ่มท้าทายแนวคิดเรื่องที่ดินเป็นของกษัตริย์อย่างสิ้นเชิง
การเปลี่ยนผ่าน: จากเจ้าของแผ่นดินสู่รัฐของประชาชน
การปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ปลดเปลื้องอำนาจของกษัตริย์และชนชั้นศักดินา โดยแนวคิด “สิทธิของประชาชน” ถูกนำมาทดแทนสิทธิจากพระเจ้า (Divine Right) ซึ่งเคยถูกใช้รองรับอำนาจของกษัตริย์ แนวคิดเรื่อง “รัฐ” ที่เป็นของประชาชนและการปกครองโดยประชาชนเริ่มกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในหลายประเทศ
ที่ดินซึ่งเคยเป็นของกษัตริย์ถูกยึดคืนมาอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐ และรัฐซึ่งประชาชนมีส่วนร่วมผ่านระบบเลือกตั้ง ก็เป็นผู้มีอำนาจในการบริหาร จัดสรร และเก็บภาษีจากทรัพยากรเหล่านี้ การเก็บภาษีจึงไม่ใช่สิทธิของกษัตริย์แต่เพียงผู้เดียวอีกต่อไป แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ประชาชนเลือกขึ้นมาเพื่อดำเนินการแทน
ประเทศไทยกับการเปลี่ยนแปลงบทบาทของพระมหากษัตริย์
ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปในช่วงปลายรัชกาลที่ 5 โดยมีการยกเลิกระบบไพร่ เริ่มสร้างระบบราชการสมัยใหม่ และวางรากฐานของรัฐสมัยใหม่ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2475 เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ
แม้พระมหากษัตริย์ยังทรงเป็นประมุขของรัฐ และยังทรงมีพระราชอำนาจในเชิงสัญลักษณ์และจิตวิญญาณของชาติ แต่สิทธิในที่ดินและการจัดเก็บภาษีถูกโอนสู่ภาครัฐซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนโดยผ่านกลไกของรัฐบาล รัฐจึงมีหน้าที่บริหารจัดการทรัพยากรและจัดเก็บภาษีเพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศ โดยต้องผ่านกระบวนการทางรัฐสภาและกฎหมาย
รัฐกับหน้าที่แทนกษัตริย์
กล่าวได้ว่า ในยุคปัจจุบัน รัฐทำหน้าที่แทนกษัตริย์ในการดูแลแผ่นดิน ทรัพยากร และประชาชน โดยยึดถือหลักความชอบธรรมจากการมีส่วนร่วมของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นในด้านการเลือกตั้ง การแสดงความเห็น หรือการกำหนดนโยบายสาธารณะ รัฐยังมีบทบาทสำคัญในการเก็บภาษีจากที่ดิน รายได้ และทรัพย์สินต่างๆ เพื่อใช้ในการบริหารประเทศอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน
บทสรุป: อำนาจในแผ่นดินไม่หาย แต่เปลี่ยนมือ
แม้ในทางกฎหมายหรือปรัชญาทางการเมือง อำนาจในการครอบครองและจัดการที่ดินจะไม่อยู่ในมือกษัตริย์ดังเช่นในอดีตอีกต่อไป แต่อำนาจนั้นไม่ได้หายไป หากแต่ได้ถูก “สละ” หรือ “โอน” ไปสู่มือของประชาชน ผ่านโครงสร้างของรัฐประชาธิปไตย ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค
ที่ดินยังคงเป็นหัวใจของเศรษฐกิจและการปกครอง แต่ไม่ใช่ในฐานะทรัพย์สินส่วนพระองค์ หากเป็นทรัพยากรสาธารณะที่ต้องบริหารด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และเคารพในสิทธิของทุกคนอย่างแท้จริง